ที่อยู่อาศัยในจีน ประสบปัญหาล้นตลาด หลังเผชิญวิกฤตอสังหาริมทรัพย์

จากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์จีนที่เริ่มชะลอตัวมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องมาจากเศรษฐกิจของจีน ถูกขับเคลื่อนด้วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 20 ประกอบกับค่านิยมของคนจีนที่เลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นที่ดินหรือที่อยู่อาศัย มีราคาสูงขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน จนกระทั่งรัฐบาลจีนเกิดความกังวลต่อสถานการณ์ของภาคอสังหาริมทรัพย์ จึงได้เข้ามาแทรกแซงโดยการออกมาตรการควบคุมราคาและออกกฎระเบียบที่มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ รวมไปถึงผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งทำให้การพัฒนาโครงการเป็นไปด้วยความล่าช้า อีกทั้งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในจีนหลายรายยังต้องประสบกับปัญหาทางการเงิน จนส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขาดสภาพคล่องในที่สุด

ในช่วงกลางปี 2564 กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีนอย่าง “China Evergrande Group” ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน และไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด จึงส่งผลต่อความเชื่อมั่นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของจีนและกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม จนเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา China Evergrande Group จึงได้ยื่นคำร้องขอความคุ้มครองการล้มละลายต่อศาลสหรัฐฯ เนื่องจากต้องแบกรับภาระหนี้ที่มีมูลค่าสูงถึง 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

“Country Garden Holdings Company Limited” อีกหนึ่งบริษัทอสังหาฯรายใหญ่ของจีน ที่เผชิญปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินเช่นเดียวกันกับบริษัทอสังหาฯ รายอื่นที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ภายหลังบริษัท Country Garden ได้รับการอนุมัติจากเจ้าหนี้ให้ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ทั้งนี้ ยังเป็นการผ่อนปรนและช่วยลดความรุนแรงต่อวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย

เมื่อ 19 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา “Sunac China Holdings” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของจีน ก็ได้ยื่นคำร้องขอความคุ้มครองการล้มละลายต่อศาลสหรัฐฯ กลายเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายที่ 2 ต่อจาก Evergrande ที่ยื่นล้มละลายไปแล้วก่อนหน้านี้ สะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ฟื้นตัวจากภาวะทางเศรษฐกิจดังกล่าว และยิ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ซื้อที่ลดลง

ล่าสุดสำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) รายงานถึงประเด็นสถานการณ์ของภาคอสังหาริมทรัพย์จีน โดยกล่าวถึงข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน ระบุว่า จีนมีพื้นที่ที่อยู่อาศัย ซึ่งยังไม่ได้จำหน่วย รวมทั้งหมด 648 ล้านตารางเมตร จากการคำนวณของรอยเตอร์ ซึ่งอ้างอิงกับขนาดบ้านเฉลี่ยที่ 90 ตารางเมตร พบว่า พื้นที่ที่อยู่อาศัยดังกล่าวเท่ากับบ้านประมาณ 7.2 ล้านหลัง ซึ่งยังไม่นับรวมที่อยู่อาศัยที่ถูกขายไปแล้วแต่ยังก่อสร้างไม่เสร็จหรือเป็นที่อยู่อาศัยที่นักลงทุนซื้อไว้เก็งกำไรในช่วงที่ตลาดอยู่ในขาขึ้นเมื่อปี 2559 ซึ่งปัจจุบันยังคงว่างอยู่

ในขณะที่แหล่งข่าวจาก ไชน่า นิวส์ เซอร์วิส (China News Service) เผยแพร่วิดีโอที่อดีตรองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน กล่าวในที่ประชุมว่า หากประเมินว่าประเทศจีนมีจำนวนบ้านที่ยังคงว่างอยู่ทั้งหมดกี่หลังนั้น ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนอาจจะมีข้อมูลที่แตกต่างกันออกไป โดยส่วนใหญ่คาดว่าจำนวนบ้านมีว่างเพียงพอต่อประชากร 3,000 ล้านคน การประเมินดังกล่าวนั้นเป็นปริมาณที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรจีน 1,400 ล้านคน ซึ่งไม่อาจเติมเต็มที่อยู่อาศัยเหล่านั้นได้

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าสถานการณ์ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนจะมีแนวโน้มฟื้นตัวหรือไม่ รวมถึงแนวทางแก้ไขและมาตรการที่ทางรัฐบาลจีนจะนำมาใช้หลังจากนี้ จะสามารถเยียวยาและบรรเทาความรุนแรงของวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ได้มากน้อยเพียงใด

ขอบคุณข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ, Reuters